เวลาที่เราอยากออกไปไหนแต่ไปไม่ได้...
มันเหงาเนอะ...
เมื่อเราไม่ได้เจอใคร...
เมื่อเราได้แค่นั่งอยู่ที่ห้องตลอดเวลา...
เมื่อเราต้องคุยกันผ่านเครื่องมือสื่อสาร...
นี่สินะ...
ชีวิตมนุษย์ในเมือง...
ref: http://www.geocities.com/s_pipatt/Blue03.jpg
8.27.2551
8.26.2551
Six Degrees of Separation
เคยได้ยินทฤษฎี Six Degrees of Separation ไหม?
ลองสมมติง่ายๆ ว่าคนทุกคนในโลกนี้มีความสัมพันธ์กันหมด...
โดยทุกคนจะมีการรู้จักกันเป็นทอดๆ ไม่เกิน 6 ทอด ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่คนละซีกโลกก็ตาม
เคยได้ยินทฤษฎีนี้เมื่อนานมาแล้วในนิตยสาร a day ที่นำทฤษฎีนี้มาเล่นกัน
ส่วนตอนนี้มี i-greenspace ที่นำทฤษฎีนี้มาเล่นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมี web อีกมากที่เอาพื้นฐานความคิดนี้มาเล่น
ตั้งแต่ Facebook, SixDegrees.org และอะไรอีกมากมาย
แต่ที่ขำสุด คือ มีการทดลองเกี่ยวกับจิตวิทยาอุตสาหกรรมด้วย - -"
อาจเพราะความน่าสนใจที่ว่า เราจะสามารถมีความเชื่อมต่อกันกับคนแปลกหน้าได้ตามทฤษฎีจริงเหรอ??
แต่เราก็แอบเชื่อลึกๆนะ ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ....ไม่เชื่อคุณลองคิดดูง่ายๆ สิ
ลองสมมติง่ายๆ ว่าคนทุกคนในโลกนี้มีความสัมพันธ์กันหมด...
โดยทุกคนจะมีการรู้จักกันเป็นทอดๆ ไม่เกิน 6 ทอด ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่คนละซีกโลกก็ตาม
เคยได้ยินทฤษฎีนี้เมื่อนานมาแล้วในนิตยสาร a day ที่นำทฤษฎีนี้มาเล่นกัน
ส่วนตอนนี้มี i-greenspace ที่นำทฤษฎีนี้มาเล่นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมี web อีกมากที่เอาพื้นฐานความคิดนี้มาเล่น
ตั้งแต่ Facebook, SixDegrees.org และอะไรอีกมากมาย
แต่ที่ขำสุด คือ มีการทดลองเกี่ยวกับจิตวิทยาอุตสาหกรรมด้วย - -"
อาจเพราะความน่าสนใจที่ว่า เราจะสามารถมีความเชื่อมต่อกันกับคนแปลกหน้าได้ตามทฤษฎีจริงเหรอ??
แต่เราก็แอบเชื่อลึกๆนะ ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ....ไม่เชื่อคุณลองคิดดูง่ายๆ สิ
8.22.2551
เปะปะ
วันนี้นึกครึ้มใจ...
ทำ custard อีกล่ะ
ถึงหน้าตาจะเหมือนไข่ตุ๋น แต่อร่อยใช้ได้นะเฟ้ย...
กินเองถ้วยนึง ยังมีอีก 3 ถ้วย...
อยากกินไหม??
^ ^
เดี๋ยววันหลังจะลองถ่ายขั้นตอนการทำด้วย...
จริงๆวันนี้ก็ว่าจะถ่ายแหละ แต่มันแบบมั่วๆอ่ะ
(ลืมใส่น้ำตาล เกือบเอาไปนึ่งล่ะ)
555+
ช่วงนี้ถ่ายรูปกับเพื่อนๆเยอะ
เลยเอามาลงซะหน่อย
งานรับปริญญาปลายฝน
เพิ่งรูปสึกว่าตัวเองหน้าตาเหมือนอาซิ่มก็งานนี้ล่ะ
- -"
เมื่ออาทิตย์ก่อนไปแรดนั่งทำงานที่วาวีตรงอารีย์ แล้วปาล์มมาหา...
ช่วงนี้บ้า photoscape รุนแรง...ไปเกษตรฯมาเมื่อวันอาทิตย์เลยลองเอามาทำแบบนี้...
(หน้าบาน -_-")
ชอบ pop art จังเล๊ยยยยยยย
ไม่เคยเอาหนังหน้าตัวเองลงในนี้มากขนาดนี้มาก่อนเลย
(เพราะวันนี้ลองตั้งใจอัพแบบชาวบ้านๆดูบ้าง)
ว่าแต่...
มันเกี่ยวอะไรกับเพลงที่ลงไว้
ไม่หรอก วันนี้ได้ฟังเพลงนี้น่ะ...
เลยสงสัยว่ามีใครไหม ที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้การฟังเพลง
เปะปะจริงๆ...blog วันนี้
เพิ่มเติม...
เพื่อนเพิ่งส่งรูปที่ถ่ายกันที่เกษตรฯเมื่อวันอาทิตย์มาให้
ขอบคุณโบ๊ทกับพี่ออฟนะคะ
8.18.2551
ลืม...
เคยมีใครบางคนโทรมาหาฉัน แล้วตั้งคำถามด้วยความเครียดว่า
“ฉันกลัวว่าในอนาคตฉันจะลืมทุกสิ่ง”
สารคดีเรื่องนี้ทำให้ฉันคิดถึงคำๆนั้น
สารคดี “A man with 7 seconds memory”
Clive Wearing นักดนตรีและวาทยกรชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกไวรัสทำลายสมองเมื่อปี 1985
หลังจากนั้น เป็นเวลา 20 ปี เขาไม่เคยจำอะไรได้เกิน 7 วินาทีอีกเลย (ตามสารคดีบอกว่าเป็น severe amnesia ที่ไม่เคยเจอมาก่อน)
Deborah ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ 3 ปีจำต้องทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทุกครั้งที่ Clive เอ่ยปากพูด...สิ่งที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าจะเป็น “ครั้งแรก” เสมอ
...การตื่นนอนครั้งแรก การมาที่นี่ครั้งแรก การเจอผู้คนครั้งแรกตั้งแต่ป่วย (ถึงแม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นน้องสาว ภรรยาหรือลูกชาย) ...ทุกครั้ง
ตั้งแต่ Clive ป่วย เค้าจะมีสมุดอยู่ข้างตัวหนึ่งเล่มเพื่อเขียนบันทึกประจำวัน แต่คนเป็นบันทึกประจำวันที่ไม่มีใครเข้าใจนอกจาก Deborah
Clive จะเขียนไดอารี่ทุกๆ 3 นาทีเพื่อบอกว่าตอนนี้ตนเองกำลังทำอะไร “เป็นครั้งแรก” และเขาจะขีดฆ่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 นาทีก่อนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก แต่ในขณะที่เค้ากำลังเขียนต่างหากคือครั้งแรก
ทุกครั้งที่เค้าได้พบใคร จะมีประโยคติดปากว่า “ฉันได้เจอพวกคุณเป็นกลุ่มแรกตั้งแต่ฉันป่วย ฉันอยู่คนเดียวตลอด ไม่ได้เจอใครเลย”
และสิ่งที่ Clive จำได้ คือ เค้าเคยทำงานที่ BBC เค้าแต่งงานแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ดำเนินมาเป็นเวลา 20 ปีมาแล้ว
และคนที่เจ็บปวดที่สุด คือ คนรักของเขา Deborah
Deborah เคยหย่ากับ Clive หลังจากที่ Clive ป่วย 7 ปีเนื่องจากเธอส่ง Clive ไปอยู่สถานบำบัดอาการทางสมอง และเธอ
รู้สึกว่าเธอไม่สามารถอยู่อย่างเป็น “ภรรยา” และ “ม่าย” ได้ในเวลาเดียวกัน
เธอไม่สามารถอยู่กับ Clive ที่เธอไม่รู้จักอีกแล้วได้อีก
แต่หลังจากนั้น เธอก็ค้นพบว่าไม่มีเหมือนเขา และเธอไม่สามารถจากเขาได้ เธอจึงกลับมาที่อังกฤษเพื่อดูแลเขา
สิ่งที่สะเทือนใจคนดูอย่างเราไม่ใช่อาการของ Clive แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาพูด
Clive : การอยู่แบบนี้มันเหมือนกับการที่เราตายไปแล้ว เพราะเราไม่มีอะไรอีกแล้ว
Deborah : ฉันและ Clive อยู่ในโลกที่ไม่มีกาลเวลา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เรามีแค่ปัจจุบันเท่านั้น
ทุกคนรอบข้าง Clive ได้แต่หนี...ให้พ้นจากความเจ็บปวดที่ต้องเห็นคนที่เรารักกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักอีกแล้ว และจะไม่มีวันกลับมาอีก
เพราะถึงแม้ว่าความทรงจำจะทำร้ายเรามากแค่ไหน
แต่การลืม มันเจ็บปวดยิ่งกว่า
“ฉันกลัวว่าในอนาคตฉันจะลืมทุกสิ่ง”
สารคดีเรื่องนี้ทำให้ฉันคิดถึงคำๆนั้น
สารคดี “A man with 7 seconds memory”
Clive Wearing นักดนตรีและวาทยกรชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกไวรัสทำลายสมองเมื่อปี 1985
หลังจากนั้น เป็นเวลา 20 ปี เขาไม่เคยจำอะไรได้เกิน 7 วินาทีอีกเลย (ตามสารคดีบอกว่าเป็น severe amnesia ที่ไม่เคยเจอมาก่อน)
Deborah ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ 3 ปีจำต้องทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทุกครั้งที่ Clive เอ่ยปากพูด...สิ่งที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าจะเป็น “ครั้งแรก” เสมอ
...การตื่นนอนครั้งแรก การมาที่นี่ครั้งแรก การเจอผู้คนครั้งแรกตั้งแต่ป่วย (ถึงแม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นน้องสาว ภรรยาหรือลูกชาย) ...ทุกครั้ง
ตั้งแต่ Clive ป่วย เค้าจะมีสมุดอยู่ข้างตัวหนึ่งเล่มเพื่อเขียนบันทึกประจำวัน แต่คนเป็นบันทึกประจำวันที่ไม่มีใครเข้าใจนอกจาก Deborah
Clive จะเขียนไดอารี่ทุกๆ 3 นาทีเพื่อบอกว่าตอนนี้ตนเองกำลังทำอะไร “เป็นครั้งแรก” และเขาจะขีดฆ่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 นาทีก่อนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก แต่ในขณะที่เค้ากำลังเขียนต่างหากคือครั้งแรก
ทุกครั้งที่เค้าได้พบใคร จะมีประโยคติดปากว่า “ฉันได้เจอพวกคุณเป็นกลุ่มแรกตั้งแต่ฉันป่วย ฉันอยู่คนเดียวตลอด ไม่ได้เจอใครเลย”
และสิ่งที่ Clive จำได้ คือ เค้าเคยทำงานที่ BBC เค้าแต่งงานแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ดำเนินมาเป็นเวลา 20 ปีมาแล้ว
และคนที่เจ็บปวดที่สุด คือ คนรักของเขา Deborah
Deborah เคยหย่ากับ Clive หลังจากที่ Clive ป่วย 7 ปีเนื่องจากเธอส่ง Clive ไปอยู่สถานบำบัดอาการทางสมอง และเธอ
รู้สึกว่าเธอไม่สามารถอยู่อย่างเป็น “ภรรยา” และ “ม่าย” ได้ในเวลาเดียวกัน
เธอไม่สามารถอยู่กับ Clive ที่เธอไม่รู้จักอีกแล้วได้อีก
แต่หลังจากนั้น เธอก็ค้นพบว่าไม่มีเหมือนเขา และเธอไม่สามารถจากเขาได้ เธอจึงกลับมาที่อังกฤษเพื่อดูแลเขา
สิ่งที่สะเทือนใจคนดูอย่างเราไม่ใช่อาการของ Clive แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาพูด
Clive : การอยู่แบบนี้มันเหมือนกับการที่เราตายไปแล้ว เพราะเราไม่มีอะไรอีกแล้ว
Deborah : ฉันและ Clive อยู่ในโลกที่ไม่มีกาลเวลา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เรามีแค่ปัจจุบันเท่านั้น
ทุกคนรอบข้าง Clive ได้แต่หนี...ให้พ้นจากความเจ็บปวดที่ต้องเห็นคนที่เรารักกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักอีกแล้ว และจะไม่มีวันกลับมาอีก
เพราะถึงแม้ว่าความทรงจำจะทำร้ายเรามากแค่ไหน
แต่การลืม มันเจ็บปวดยิ่งกว่า
8.16.2551
8.15.2551
เปื่อย เฉื่อย เอื่อย
อาทิตย์นี้ทำตัว(เรื่อย)เปื่อย...
ทั้งป่วย ทั้งเปื่อย
อะไรนักหนาวะ กุลนันท์
เมื่อวานวันรับปริญญาที่ธรรมศาสตร์
คนจะเยอะไปไหนคะคุณขา
ไปหาปลายฝน และบังเอิญเพื่อนสาธิตแค่คนเดียว
ทำไมชั้นถึงเป็นคนเฉื่อยได้ขนาดนี้วะ
ถ้ามีอะไรที่ต้องทำตามกำหนด
ก็จะขอให้มันเลยกำหนดหน่อยเถอะ...
อยากดู gossip girl แบบต่อเนื่อง
ดูทีไร ไม่เคยต่อกันเลย เพราะไม่เคยนั่งรอดู
เจอก็ดู
เมื่อวานไปนั่งเฮฮากันที่สวนสันติฯ
ที่โปรด
ถ้าใครได้ยินเสียงหัวเราะลั่นสวน นั่นล่ะพวกเรา...
ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะกลับร่างเดิม
เป็นกุลนันท์ผู้ active อีกครั้ง
รีบๆเก็บข้อมูลซะทีเถอะแก
งั้น.......
ขอเฉื่อยก่อนนะ
ไปล่ะ
ชะแว๊บบบ.....................
ทั้งป่วย ทั้งเปื่อย
อะไรนักหนาวะ กุลนันท์
เมื่อวานวันรับปริญญาที่ธรรมศาสตร์
คนจะเยอะไปไหนคะคุณขา
ไปหาปลายฝน และบังเอิญเพื่อนสาธิตแค่คนเดียว
ทำไมชั้นถึงเป็นคนเฉื่อยได้ขนาดนี้วะ
ถ้ามีอะไรที่ต้องทำตามกำหนด
ก็จะขอให้มันเลยกำหนดหน่อยเถอะ...
อยากดู gossip girl แบบต่อเนื่อง
ดูทีไร ไม่เคยต่อกันเลย เพราะไม่เคยนั่งรอดู
เจอก็ดู
เมื่อวานไปนั่งเฮฮากันที่สวนสันติฯ
ที่โปรด
ถ้าใครได้ยินเสียงหัวเราะลั่นสวน นั่นล่ะพวกเรา...
ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะกลับร่างเดิม
เป็นกุลนันท์ผู้ active อีกครั้ง
รีบๆเก็บข้อมูลซะทีเถอะแก
งั้น.......
ขอเฉื่อยก่อนนะ
ไปล่ะ
ชะแว๊บบบ.....................
8.13.2551
คำถาม?
ฉันสงสัย...
มีใครหลายคนเคยบอกกับฉัน
ถ้าเราสามารถยิ้มให้กับความรักของคนที่เรารักได้ โดยความรักนั้นไม่จำเป็นอยู่กับเรา
สามารถเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับความรักของเค้า
นั่นเรียกว่า "รักแท้"
ถ้ารักแท้มันเป็นเช่นนั้น...
เท่ากับว่า
"รักแท้" จะไม่สามารถอยู่กับเราได้งั้นเหรอ?
เราจำเป็นต้องให้รักแท้จากเราไปก่อน เราจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ารักนั้นเป็นรักแท้งั้นสินะ??
แล้วถ้าเช่นนั้น...
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "ความรัก" ที่อยู่กับเรา ณ ปัจจุบัน
สิ่งที่เราพยายามทำอย่างเต็มที่อยู่ทุกวัน
มีความสุขในตอนนี้
คือ "รักแท้" หรือไม่??
ฉันแค่...สงสัย...
8.12.2551
เชอะ...!!!
ป่วยอีกล่ะ...
เวลาเราป่วยแล้วไม่ได้กลับบ้าน มันเหมือนเป็นง่อยเลยเนอะ
ปวดหัว ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ
จะโทรหาใครก็รบกวนชาวบ้านเค้า เพราะใครๆ ก็มีงานยุ่งกันทั้งนั้น
ได้แต่นั่งๆ นอนๆ หลับๆ ตื่นๆ อยู่ห้อง กลิ้งกลิ้งอยู่กับพื้นไปมา
พอหนาวก็พลิกตัวไปนอนบนเตียง
นอนนิ่งๆ มา 2 วันแล้วนี่นา...
เหงาชิบเป๋ง
ก้องี้ล่ะ...ดูแลตัวเองได้มาตลอด พอป่วย ใครๆก็เข้าใจว่าดูแลตัวเองได้
เอออ...!!! ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ห้ามอ้อนใครเด็ดขาด!!! หยิ่งก็งี้ล่ะ...กุลนันท์เอ๊ย...
เวลาเราป่วยแล้วไม่ได้กลับบ้าน มันเหมือนเป็นง่อยเลยเนอะ
ปวดหัว ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ
จะโทรหาใครก็รบกวนชาวบ้านเค้า เพราะใครๆ ก็มีงานยุ่งกันทั้งนั้น
ได้แต่นั่งๆ นอนๆ หลับๆ ตื่นๆ อยู่ห้อง กลิ้งกลิ้งอยู่กับพื้นไปมา
พอหนาวก็พลิกตัวไปนอนบนเตียง
นอนนิ่งๆ มา 2 วันแล้วนี่นา...
เหงาชิบเป๋ง
ก้องี้ล่ะ...ดูแลตัวเองได้มาตลอด พอป่วย ใครๆก็เข้าใจว่าดูแลตัวเองได้
เอออ...!!! ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ห้ามอ้อนใครเด็ดขาด!!! หยิ่งก็งี้ล่ะ...กุลนันท์เอ๊ย...
8.09.2551
Sign
วันนี้ฉันเปิดไดอารี่หน้าเก่า...
นึกถึงวัน เมื่อเกือบครึ่งปีมาแล้ว ... 14 กุมภาพันธ์
ฉันคงไม่สามารถคิดจินตนาการได้ ว่าฉันจะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง ถ้าฉันไม่มีเพื่อนรอบข้าง
และเมื่อคิดย้อนกลับไป คนๆแรกที่ได้รับรู้ความเศร้าแสนสาหัสของฉันตอนนั้น คือ คุณสินะ...
น่าแปลกใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันจึงเลือกโทรหาคุณเป็นคนแรก
เลือกที่จะให้คุณบอกฉันว่า ..ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆพูด...
(ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบเล่าอะไรให้ใครฟังมากเท่าไหร่นัก)
และคุณคงเป็นคงที่เรียกฉันเป็นคนแรกว่า Ms.listener
เมื่อวานฉันถามคุณเรื่อง Sign แบบในเรื่อง Serendipity
แล้วนี่เป็น Sign หรือเปล่านะ?? น่าแปลกใจเนอะ
^ ^
นึกถึงวัน เมื่อเกือบครึ่งปีมาแล้ว ... 14 กุมภาพันธ์
ฉันคงไม่สามารถคิดจินตนาการได้ ว่าฉันจะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง ถ้าฉันไม่มีเพื่อนรอบข้าง
และเมื่อคิดย้อนกลับไป คนๆแรกที่ได้รับรู้ความเศร้าแสนสาหัสของฉันตอนนั้น คือ คุณสินะ...
น่าแปลกใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันจึงเลือกโทรหาคุณเป็นคนแรก
เลือกที่จะให้คุณบอกฉันว่า ..ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆพูด...
(ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบเล่าอะไรให้ใครฟังมากเท่าไหร่นัก)
และคุณคงเป็นคงที่เรียกฉันเป็นคนแรกว่า Ms.listener
เมื่อวานฉันถามคุณเรื่อง Sign แบบในเรื่อง Serendipity
แล้วนี่เป็น Sign หรือเปล่านะ?? น่าแปลกใจเนอะ
^ ^
8.08.2551
ทัศนคติ...
...มีหลายคนเคยบอกไว้ว่าข้อดีของฉันคือ ความมั่นใจ และความใฝ่รู้
เมื่อก่อนฉันก็ไม่ใช่คนแบบนี้ แต่ตอนเข้ามหาลัยปี 1 ได้บอกตัวเองไว้ว่า ถ้าฉันยังเป็นคนเดิมต่อไป ชีวิตฉันจะไม่ได้อะไรเลย
ฉันจึงเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองทีละนิด พยายามพูดคุยกับคนที่ไม่สนิทสนมให้มากขึ้น ชักชวนบุคคลที่น่าสนใจพูดคุย และพยายามพูดให้ได้ทุกภาษา (ในที่นี้หมายถึงสามารถพูดคุยกับคนที่แตกต่างให้ได้ในทุกวงการ)
แต่การจะพูดคุยกับใครให้ได้นั้น เราต้องรู้ให้มากจึงจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดได้
ฉันจึงแปรเปลี่ยนความใฝ่รู้นั้นให้เกิดความสนุกสนาน เริ่มจากการอยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน...
80% ของจำนวนวันที่อยู่ศิลปากรมา 4 ปี ฉันอ่านหนังสือทุกวัน...ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นิตยสารและวรรณกรรม
ถ้าอ่านการ์ตูน จำนวนจะอยู่ที่ประมาณ 7 เล่มต่อวัน...อาจบวกนิตยสารอีก 1 เล่ม แต่ถ้าอ่าน pocket book จะอ่านวันละ 1 เล่ม
อาจดูไม่เยอะ แต่ฉันสนุกกับมันมาก ...และจนวันนี้ นิสัยเหล่านี้ของฉันมันส่งผลดีเป็นอย่างมาก
ฉันมีข้อมูลในชีวิตสะสมอยู่ (ถึงจะลืมๆไปก็เยอะก็เถอะ - -“) มันอาจไม่ได้ช่วยเอื้อต่อสิ่งที่เรียนอยู่
แต่ฉันเชื่อว่าไม่มีอะไรที่สูญเสียเลยสักนิด
และในทุกครั้งที่ฉันฟังบรรยายไม่ว่าจะในวิชาเรียนหรือนอกห้องเรียน ...
ฉันจะบังคับตัวเองให้สบตาและจดจ่อกับสิ่งที่ทุกคนพูด และต้องแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ ในทุกครั้ง
ถ้าจะเทียบกันแล้ว อาจเป็นเวลาไม่ถึง 10% ที่ฉันจะหลับ...(โชคดีที่ไม่ชอบนอนกลางวัน)
และถ้าฉันได้ยินเรื่องบางเรื่องมาจากใน TV หรือใครก็ตาม ฉันจะเข้า Internet แล้วใช้ google (มีใครบางคนเรียกฉันว่า Googlelist)
...ที่ฉันพูดมาทั้งหมด ฉันไม่เคยต้องการอยากอวดอ้างว่าฉันเป็นคนมีความรู้รอบตัวเยอะแยะเลย (กลับตรงข้ามเพราะฉันไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เลยสักนิด)
แต่ช่วงนี้ มีคนมาพูดคุยกับฉันเรื่องนิสัยใฝ่รู้ การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และความกระตือรือร้นว่ามันเป็นใบเบิกทางที่จะก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีกับตัวเองและสิ่งที่เราทำ
สุดท้าย ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องๆเดียว นั่นคือ “ทัศนคติที่ดี” ...พูดง่ายแต่ทำยากนะ ^ ^
เมื่อก่อนฉันก็ไม่ใช่คนแบบนี้ แต่ตอนเข้ามหาลัยปี 1 ได้บอกตัวเองไว้ว่า ถ้าฉันยังเป็นคนเดิมต่อไป ชีวิตฉันจะไม่ได้อะไรเลย
ฉันจึงเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองทีละนิด พยายามพูดคุยกับคนที่ไม่สนิทสนมให้มากขึ้น ชักชวนบุคคลที่น่าสนใจพูดคุย และพยายามพูดให้ได้ทุกภาษา (ในที่นี้หมายถึงสามารถพูดคุยกับคนที่แตกต่างให้ได้ในทุกวงการ)
แต่การจะพูดคุยกับใครให้ได้นั้น เราต้องรู้ให้มากจึงจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดได้
ฉันจึงแปรเปลี่ยนความใฝ่รู้นั้นให้เกิดความสนุกสนาน เริ่มจากการอยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน...
80% ของจำนวนวันที่อยู่ศิลปากรมา 4 ปี ฉันอ่านหนังสือทุกวัน...ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นิตยสารและวรรณกรรม
ถ้าอ่านการ์ตูน จำนวนจะอยู่ที่ประมาณ 7 เล่มต่อวัน...อาจบวกนิตยสารอีก 1 เล่ม แต่ถ้าอ่าน pocket book จะอ่านวันละ 1 เล่ม
อาจดูไม่เยอะ แต่ฉันสนุกกับมันมาก ...และจนวันนี้ นิสัยเหล่านี้ของฉันมันส่งผลดีเป็นอย่างมาก
ฉันมีข้อมูลในชีวิตสะสมอยู่ (ถึงจะลืมๆไปก็เยอะก็เถอะ - -“) มันอาจไม่ได้ช่วยเอื้อต่อสิ่งที่เรียนอยู่
แต่ฉันเชื่อว่าไม่มีอะไรที่สูญเสียเลยสักนิด
และในทุกครั้งที่ฉันฟังบรรยายไม่ว่าจะในวิชาเรียนหรือนอกห้องเรียน ...
ฉันจะบังคับตัวเองให้สบตาและจดจ่อกับสิ่งที่ทุกคนพูด และต้องแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ ในทุกครั้ง
ถ้าจะเทียบกันแล้ว อาจเป็นเวลาไม่ถึง 10% ที่ฉันจะหลับ...(โชคดีที่ไม่ชอบนอนกลางวัน)
และถ้าฉันได้ยินเรื่องบางเรื่องมาจากใน TV หรือใครก็ตาม ฉันจะเข้า Internet แล้วใช้ google (มีใครบางคนเรียกฉันว่า Googlelist)
...ที่ฉันพูดมาทั้งหมด ฉันไม่เคยต้องการอยากอวดอ้างว่าฉันเป็นคนมีความรู้รอบตัวเยอะแยะเลย (กลับตรงข้ามเพราะฉันไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เลยสักนิด)
แต่ช่วงนี้ มีคนมาพูดคุยกับฉันเรื่องนิสัยใฝ่รู้ การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และความกระตือรือร้นว่ามันเป็นใบเบิกทางที่จะก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีกับตัวเองและสิ่งที่เราทำ
สุดท้าย ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องๆเดียว นั่นคือ “ทัศนคติที่ดี” ...พูดง่ายแต่ทำยากนะ ^ ^
8.07.2551
พัฒนาการ
ตอนแรกกะว่าจะเข้ามาอัพเรื่องซีเรียสเสียหน่อย
แต่รู้สึกว่า วันนี้ใช้หัวสมองเยอะ...เหนื่อยล่ะ
เลยมาลองโปรแกรม photoscape แทน...
เลยได้เห็นพัฒนาการหนังหน้าตัวเอง ว่ามันดีขึ้นและแย่ลงเป็นพักๆ
รู้สึกเหมือนแต่ละปีที่ผ่านไป หน้าตัวเองไม่ได้เหมือนกันเลยสักรอบ
กะว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไปตัดผมอีกที ...มารอดูกันดีกว่า
^ ^
8.02.2551
...
2 สิงหาคม 2551
ฉันคิดถึงเธอ ... ความสุขในอดีตของฉัน...
และได้แต่หวังว่าเธอมีความสุขดีอย่างที่ฉันมี...
แต่ถ้าเมื่อใดที่ความทุกข์แสนสาหัสมาหาเธอ...
ขอให้เธอได้รู้ ว่าเธอยังคงมีนักจิตวิทยาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว
เป็นผู้ฟัง และเป็นคนเสนอทางเลือกในชีวิตให้เธอได้เสมอ...
ฉันไม่เคยต้องการให้ชีวิตเธอและคนที่เธอรักต้องพบกับความเศร้า...
เราคงไม่ได้พบเจอคนที่เราจะทำทุกสิ่งให้อย่างบริสุทธิ์ใจได้บ่อยนัก
และฉันคงขอให้เธอได้รู้ ว่าเธอเป็นคนๆนั้นของฉัน
แต่เพราะเราผูกพันกันมากเกินไป ...
ฉันจึงเข้าใจและให้อภัยในสิ่งที่เธอเลือกทำ
ฉันขอโทษ...
ที่ฉันคิดถึงเธอ
ฉันคิดถึงเธอ ... ความสุขในอดีตของฉัน...
และได้แต่หวังว่าเธอมีความสุขดีอย่างที่ฉันมี...
แต่ถ้าเมื่อใดที่ความทุกข์แสนสาหัสมาหาเธอ...
ขอให้เธอได้รู้ ว่าเธอยังคงมีนักจิตวิทยาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว
เป็นผู้ฟัง และเป็นคนเสนอทางเลือกในชีวิตให้เธอได้เสมอ...
ฉันไม่เคยต้องการให้ชีวิตเธอและคนที่เธอรักต้องพบกับความเศร้า...
เราคงไม่ได้พบเจอคนที่เราจะทำทุกสิ่งให้อย่างบริสุทธิ์ใจได้บ่อยนัก
และฉันคงขอให้เธอได้รู้ ว่าเธอเป็นคนๆนั้นของฉัน
แต่เพราะเราผูกพันกันมากเกินไป ...
ฉันจึงเข้าใจและให้อภัยในสิ่งที่เธอเลือกทำ
ฉันขอโทษ...
ที่ฉันคิดถึงเธอ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)